เมื่อ : 27 มิ.ย. 2568

ตำรวจสอบสวนกลางบุกรวบ 2 ผู้บริหาร แห่งอาณาจักรร้านทอง ซื้อทองไม่ได้ทอง ขายทองไม่ได้เงิน ฝากทองไม่ได้คืน ลงทุนไม่ได้อะไร เสียหายกว่า 500 ล้านบาท

 

กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) กก.1 บก.ปคบ. กก.1 บก.ป. กก.3 บก.ป และ กก.5 บก.ป.
ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหา (ตามหมายจับ)

 

1. นายพิพัฒน์ (สงวนนามสกุล) อายุ 54 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 3747/68         ลงวันที่ 24 มิ.ย.68

 

2. นายอาศุพล (สงวนนามสกุล) อายุ 42 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 3748/68  
ลงวันที่ 24 มิ.ย.68

 

ฐานความผิด “ร่วมกันยักยอก ร่วมกันฉ้อโกง ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ร่วมกันโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง และร่วมกันโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำผิดความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน”

 

พฤติการณ์ เมื่อประมาณเดือน มีนาคม 2568 ได้มีกลุ่มผู้เสียหายรวม 69 ราย เข้าแจ้งความร้องทุกข์    ให้ดำเนินคดีกับ บริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งเปิดในลักษณะร้านทอง หลังซื้อทองไม่ได้ทอง     ขายทองไม่ได้เงิน ฝากทองไม่ได้คืน ลงทุนไม่ได้อะไร โดยบริษัทแห่งนี้ ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับซื้อขายแลกเปลี่ยนทองคำผ่านหน้าร้านและผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งมีรูปแบบการประกอบธุรกิจ คือ เทรดทองคำแท่งผ่านแอพพลิเคชัน และเว็บไซต์ชื่อเดียวกับชื่อร้านทอง รับซื้อ-ขายทองคำและรับหลอมทองคำ มีการชักชวนประชาชนทั่วไปให้สมัครสมาชิก เทรด ซื้อ ขาย 

 

และนำทองคำมาหลอมกับบริษัทฯ โดยเสนอรับซื้อ-ขาย ในราคาที่ดีกว่า ราคาทองคำที่สมาคมทองคำกำหนด คิดค่าหลอมต่ำกว่าผู้ประกอบการรายอื่น โดยในช่วงต้นปี 2568 บริษัทฯ เริ่มมีการผัดผ่อนการชำระเงิน และการส่งมอบทองคำ เมื่อทวงถาม ก็บ่ายเบี่ยง ต่อมาเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2568 ได้ประกาศระงับการให้บริการ โดยปิดทั้งช่องทางหน้าร้าน และหยุดการให้บริการทั้งหมด ทำให้มีกลุ่มลูกค้าได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก มูลค่าความเสียหายเบื้องต้นกว่า 500 ล้านบาท

 

เนื่องด้วยคดีนี้มีผู้เสียหายจำนวนมาก มูลค่าความเสียหายสูง เป็นคดีที่มีความยุ่งยากสลับซับซ้อน ประกอบกับสื่อมวลชนให้ความสนใจ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. จึงได้มีคำสั่ง แต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน โดยมอบหมายให้ พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน รอง ผบช.ก. เป็นหัวหน้าคณะพนักงานงานสืบสวนสอบสวน คลี่คลายคดีนี้ โดยประกอบด้วยกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก 3 กองบังคับการ ในสังกัด ได้แก่ บก.ปอศ. บก.ปคบ. และ บก.ป. คณะพนักงานสืบสวนสวนได้รวบรวมพยานหลักฐาน อนุมัติหมายจับต่อศาล ออกหมายจับ นายพิพัฒน์ฯ และนายอาศุพลฯ ซึ่งเป็น กรรมการของ บริษัทดังกล่าว ในความผิดฐาน “ร่วมกันยักยอก ร่วมกันฉ้อโกง ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ร่วมกันโดยทุจริต 

 

หรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์ อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง และร่วมกันโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำผิดความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน”

 

ต่อมาวันที่ 25 มิถุนายน 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ปอศ. กก.1 บก.ปคบ. กก.1 บก.ป. กก.3 บก.ป และ กก.5บก.ป. ได้นำหมายค้น เข้าตรวจค้นจำนวน 3 จุด พื้นที่ กรุงเทพมหานคร จ.นครราชสีมา จ.ราชบุรี จนนำไปสู่การจับกุมตัว นายพิพัฒน์ฯ และนายอาศุพลฯ พร้อมตรวจยึดพยานหลักฐาน เป็นคอมพิวเตอร์ จำนวน 22 เครื่อง โทรศัพท์มือถือ จำนวน 3 เครื่อง แท็บเล็ต จำนวน 2 เครื่อง โน้ตบุ๊ค จำนวน 8 เครื่อง โทเคนธนาคาร จำนวน 9 ชิ้น สมุดบัญชีธนาคาร จำนวน 2 เล่ม ฮาร์ดดิสก์เก็บข้อมูล SSD จำนวน 1 อันพยานเอกสาร จำนวน 14 ลัง นอกจากนี้ยังได้ดำเนินการอายัดบัญชีธนาคารที่เกี่ยวข้อง จำนวน 21 บัญชี คิดเป็นยอดเงินรวม
กว่า 54 ล้านบาท เพื่อประกอบการสืบสวนสอบสวน ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป