“ไร่ละพัน”สะดุดมติครม.เก่า อัดฉีดสินเชื่อ 5.9 หมื่นล้านแก้ปัญหา
เงินช่วยเหลือเกษตรกร หรือชาวนา กลายเป็นประเด็นสำคัญในช่วง ที่ผ่านมา เมื่อ สส.พรรคร่วมรัฐบาล เรียกร้องให้กระทรวงเกษตรฯ ชี้แจงความชัดเจนเรื่องเงินช่วยเหลือชาวนา โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ออกมาตอบว่า ช่วงก่อนหน้านี้มีชาวนาเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือชาวนาโดยอนุมัติดำเนินโครงการไร่ละ 1000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ หรือไม่เกินครัวเรือนละ 20000 บาท ในปีการผลิต 2567/2568 เพราะว่าเป็นช่วงที่ข้าวออกสู่ตลาดมากในเดือน พ.ย.-ธ.ค. 2567 ทำให้ราคาข้าวตกต่ำ จนทำให้ มีข้อเรียกร้องในช่วงนี้ค่อนข้างมาก
“ไร่ละพัน” สะดุดมติครม. (21/11/66)
ซึ่งเรื่องนี้ทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ออกมาชี้แจงว่า แม้โครงการช่วยเหลือชาวนาไร่ละ 1000 บาท ในขณะนี้ไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 พ.ย.66 กำหนดเป็นหลักการว่า “ในการจัดทำมาตรการ / โครงการ เพื่อสนับสนุนหรือให้ความช่วยเหลือเกษตรกร และภาคเกษตรต่อจากนี้ไป ให้ทุกหน่วยงานต้องหลีกเลี่ยง การดำเนินการในลักษณะการให้เงินอุดหนุน ช่วยเหลือ ชดเชย หรือประกันราคาสินค้าเกษตรโดยตรงแก่เกษตรกร และให้พิจารณาดำเนินมาตรการ /โครงการ ในลักษณะที่เป็นการสนับสนุน การเพิ่มระดับผลิตภาพ (Productivity) ของภาคการเกษตร การพัฒนาภาคเกษตรตลอดห่วงโซ่อุปทาน หรือ เป็นการยกระดับกระบวนการผลิตและสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าเกษตร
อย่างไรก็ดีแม้จะติดมติ ครม.ดังกล่าว ทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้เดินหน้าติดตามและเร่งรัดแก้ปัญหาให้ชาวนา ด้วยการพยายามที่จะจัดทำโครงการเพื่อช่วยเหลือชาวนากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จึงได้เตรียมจัดทำมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปีการผลิต 2567/68 จำนวน 2 โครงการ วงเงินรวมทั้งสิ้น 59500.01 ล้านบาท
1. โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2567/68 เป้าหมาย 3 ล้านตัน วงเงินงบประมาณรวม 43843.76 ล้านบาท และ 2. โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2567/68 เป้าหมาย 1.5 ล้านตัน วงเงินงบประมาณรวม 15656.25 ล้านบาท
ผ่าลึกโครงการสองมุมมอง
นโยบายช่วยเหลือชาวนาไร่ละ 1000 บาท เป็นนโยบายที่สร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในสังคมไทย ทั้งในแง่บวกและแง่ลบ โดยมีทั้งผู้เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้ ซึ่งการวิเคราะห์นโยบายนี้จะช่วยให้เราเข้าใจถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น และหาแนวทางปรับปรุงนโยบายให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ในส่วนของความคิดเห็นของผู้เห็นด้วย มองว่าว่านโยบายนี้เป็นการช่วยเหลือเกษตรกรอย่างทันท่วงที ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนและสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับภาคเกษตรกรรม
ส่วนผู้ที่คัดค้าน มองว่านโยบายนี้เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุของปัญหา เช่น ราคาพืชผลตกต่ำ ปัญหาหนี้สิน และการเข้าถึงเทคโนโลยี
อย่างไรก็ดีในแง่ของนโยบาย เป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของชาวนา เพราะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับชาวนาในช่วงที่ราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนและเสริมสภาพคล่องให้กับครัวเรือนเกษตรกร
เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับฐานราก เงินที่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจจากนโยบายนี้จะช่วยกระตุ้นการบริโภคในระดับท้องถิ่น ทำให้เศรษฐกิจในชนบทมีความคึกคักมากขึ้น
สร้างความเชื่อมั่นให้กับเกษตรกร การที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับปัญหาของเกษตรกรและออกมาตรการช่วยเหลือ จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับเกษตรกรในการประกอบอาชีพต่อไป
แต่ในแง่ของนโยบายก็มีข้อเสียที่ทางฝ่ายที่คัดค้านมองว่า การให้เงินช่วยเหลือเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่มีความยั่งยืน
เพราะไม่ส่งเสริมให้เกษตรกรปรับตัวเข้ากับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลง
การใช้จ่ายงบประมาณต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก อาจส่งผลกระทบต่อการจัดสรรงบประมาณในส่วนอื่นๆ
มีความเสี่ยงในการทุจริตคอรัปชั่นในการดำเนินโครงการ หากระบบการตรวจสอบไม่เข้มงวดเพียงพอ
และเกษตรกรอาจรอกการพึ่งพาเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลมากเกินไป ทำให้ขาดแรงจูงใจในการพัฒนาตนเองและปรับปรุงวิธีการผลิต
แนะเกษตรกรปรับตัว-รัฐส่งเสริมการตลาด
รัฐบาลควรส่งเสริมให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนวิธีการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การทำเกษตรอินทรีย์ การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ และการรวมกลุ่มเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการต่อรอง สนับสนุนให้เกษตรกรรวมกลุ่มกันเป็นสหกรณ์ หรือกลุ่มผู้ผลิต เพื่อเพิ่มอำนาจในการต่อรอง และลดต้นทุนการผลิต
สร้างตลาดให้กับสินค้าเกษตร เช่น การส่งเสริมการตลาดออนไลน์ การสร้างแบรนด์สินค้าเกษตร และการส่งออกแก้ไขปัญหาโครงสร้าง แก้ไขปัญหาโครงสร้างพื้นฐานด้านการเกษตร เช่น ระบบชลประทาน การขนส่ง และการเข้าถึงปัจจัยการผลิตตรวจสอบและประเมินผล: มีการตรวจสอบและประเมินผลการดำเนินงานของโครงการอย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับปรุงและพัฒนานโยบายให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
วันนี้โครงการ “ไร่ละพัน” ยังไม่มีข้อสรุป เพราะนโยบายยังมีข้อดีและข้อเสีย การแก้ไขปัญหาเกษตรกรต้องอาศัยมาตรการที่หลากหลายและครอบคลุม ไม่ใช่เพียงแค่การให้เงินช่วยเหลือ ต้องมีการพัฒนาที่ยั่งยืนในระยะยาว รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้เกษตรกรมีศักยภาพในการแข่งขัน และสามารถปรับตัวเข้ากับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงได้