เมื่อ : 18 พ.ย. 2568

“พืชเกษตร” ไทย-กัมพูชา ไม่ต่างกันนาข้าว ไร่มัน ไร่ข้าวโพด สวนทุเรียน สวนลำไย สวนยางพารา ปาล์มน้ำมัน  ส่วนผลผลิตปริมษรกัมพูชาเหนือกว่า  ปัจจัยหนุนเพิ่ง “เปิดป่า” ทำการเกษตรเกษตรไทยเป็นที่ปรึกษาพี่เลี้ยง  
.
นายทศพล ขวัญรอด ประธานภาคีเครือข่ายชาวสวนยางพาราและสวนปาล์มน้ำมันแห่งประเทศไทย (คยปท.) เปิดเผยว่า ได้เดินทางไปยังบ้านหนองจาน อ.หนองจาน จ.สระแก้ว ชายแดนไทย กัมพูชา พร้อมคณะนายวีระรอด ความคิด เกี่ยวกับปัญหาพิพาทชายแดนไทย กัมพูชา บ้านหนองจาน เมื่อเร็ว ๆนี้
.
จึงได้ศึกษาสภาพพื้นที่จริง ปรากฏว่าพื้นที่ชายแดนไทย กัมพูชา จ.สระแก้ว สภาพพื้นที่ภูมิประเทศภูมิอากาศรูแบบเดียวกับไทย และที่สำคัญการเกษตรของกัมพูชาไม่ต่างกับของไทย มีการทำนาข้าว ไร่มันสะปะหลัง ไร่ข้าวโพด ไร่อ้อย ทุเรียน ลำไย ยางพารา และปาล์มน้ำมัน
.
โดยเฉพาะจะทำปริมาณมากคือการทำนาข้าว และไร่มันสำปะหลัง เฉพาะนาข้าวจะเป็นพื้นที่กว้างขนาดใหญ่สวยงาม และดินดีจะมีความอุดมสมบูรณ์เหมาะสมสำหรับการเกษตรเป็นอย่างมาก
.
“ได้ศึกษารับทราบว่าการทำนาข้าวกับไร่มันสำปะหลัง จะมีปริมาณผลผลิตจำนวมาก โดยเฉพาะข้าวจะให้ผลผลิตกว่า 1000 ตัน / ไร่ จึงได้ข้อสรุปว่ามีเหตุผลที่ข้าวกัมพูชาราคาถูกกว่าของไทยมาก ซึ่งขณะนี้ประมาณ 4000 บาท / ตัน มันสำปะหลัง ประมาณ 00.80 -00.90 บาท / กก. 
.
นายทศพล ยังกล่าวอีกว่า  บางส่วนยังมีกลุ่มนักลงทุนจากประเทศไทยได้เข้าไปลงทุนทำการเกษตร เช่น ปาล์มน้ำมัน เป็นหลักแสนไร่ ฯลฯ  จึงไม่แปลกที่สินค้าการเกษตรทุกตัวราคาต้นทุนการผลิตต่ำ เพราะดินดีและค่าแรงต่ำ จึงสามารถผลิตได้ปริมาณมาก และสามารถกระจายสินค้าส่งออกไปยังต่างประเทศ ที่จะสามารถแข่งขันได้ 
.
“ภาวะดังกล่าวจึงส่งกระทบต่อสินค้าเกษตรกรไทยโดยเฉพาะสินค้าการเกษตรหลัก เช่น ข้าว และมันสำปะหลังที่ราคาไม่นิ่งและจะปรับตัว ก็เป็นส่วนหนึ่งจากสินค้าที่ส่งออกและนำเข้ามาจากประเทศกัมพูชา”
.
นายทศพล  กล่าวเพิ่มเติมว่า อนาคตจึงน่ากังวลถึงตลาดสินค้าการเกษตรของไทย หากไม่มีการดูแลกำกับควบคุมที่ดีเรื่องการตลาจะส่งผลกระทบต่อสินค้าการเกษตรไทยทั้งแต่ราคาข้าว ข้าวโพด ราคามันสำปะหลัง ยาง ปาล์มน้ำมัน ทุเรียน ฯลฯ  
.
นายจิระวัฒน์ ภักดี กรรมการ ผู้จัดการ บริษัท เอกภัคเกษตรไทย จำกัด ผู้แทนจำหน่ายพืชเกษตรและปุ๋ย เปิดเผยว่า ได้เข้าศึกษาดูงานการเกษตรและทางด้านการตลาดพืชเกษตรพื้นที่ประเทศชายแดนไทย  สปป.ลาว และกัมพูชา ทั้ง 2 ประเทศสภาพภูมิอากาศ ภูมิประเทศไม่ต่างกับไทย แต่ยังมีข้อได้เปรียบมาก คือดินดีเหมาะสำหรับการเกษตร ปัจจัยสนับสนุนเพราะเป็นระยะเพิ่งเปิดป่า และทอยเปิดและยังเพิ่งเริ่มทำการเกษตรอย่างจริงจังในหลายพื้นที่ทั้ง สปป.ลาว และกัมพูชา
.
โดยเฉพาะในประเทศกัมพูชายแดนไทย จะมีการลงทุนทำกันมากตั้งแต่นาข้าว ไร่ข้าวโพด ไร่มันสำปะหลัง และตามมาไร่อ้อย สวนทุเรียน และสวนลำไย ส่วน สปป.ลาว โดยเฉพาะลาวเหนือจะลงทุนทำสวนยางพาราเป็นส่วนใหญ่ 
.
“โดยเฉพาะชายแดนไทย กัมพูชา จ.จันทบุรี จะเน้นลงทุนปลูกทุเรียนตลอดแนวชายแดนหลายหมื่นไร่ โดยต้นแบบสวนทุเรียนจาก จ.จันทบุรี ส่วยชายแดน จ.สระแก้ว จะมีการปลูกลำใยตามมา”  
.
นายจิระวัฒน์ กล่าวอีกว่า จากสภาพดินดีอุดมสมบูรณ์การทำการเกษตรแทบจะไม่ต้องลงทุนโดยเฉพาะปุ๋ยสำหรับพืชบางตัว เช่น มันสำปะหลัง เป็นต้น ซึ่งจะปลูกช่วงต้นฝนเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน ซึ่งจะไปเก็บเกี่ยวเดือนเมษายน
.
“แต่ถึงอย่างไรทางกัมพูชาก็มีสั่งปุ๋ยโดยการขายตรงประมาณหลายหมื่นตัน / ปี เช่นเดียวกันเพราะจะนำไปใช้พืชเกษตรตัวอื่น”
.
“เกษตรกัมพูชาผลผลิตพืชปริมาณมาก / ไร่ เพราะดินดีจากระยะแรกของการเพิ่งเปิดป่าเริ่มทำการเกษตร เรื่องการเกษตรชาวกัมพูชา จึงยังไม่ความชำนาญความรู้ที่ดี ที่ทำเกษตรอยู่เพราะผู้มีความรู้ด้านการเกษตรจากฝั่งไทยไปเป็นที่ปรึกษาเป็นพี่เลี้ยง”  
.
นายจิระวัฒน์ กล่าวว่า ได้ศึกษสวนทุเรียนของชาวกัมพูชา ปรากฏว่ามีผลผลิตปริมาณมากโดยผลิตถึง 4-5 กก. / ลูก แต่ทางด้านรสชาดของทุเรียนกัมพูชา ทุเรียนไทยยังมีคุณภาพมากกว่า
.
“กัมพูชามีที่ดินมากและผู้ประกอบการลงทุนทางด้านการเกษตรต่างเป็นคนมีฐานะ และลงทุนเป็นรายละ 40 – 50 ไร่”.