ป.ป.ส.ทลายเครือข่ายค้า‘ไอซ์’ข้ามชาติ ยึด 483 กก.เตรียมส่งลงใต้
‘ป.ป.ส.’ร่วมภาคี 3 เหล่าทัพ ทลายเครือข่ายค้า‘ไอซ์’ข้ามชาติ จับ 2 ผู้ต้องหาชาย-หญิง พร้อมของกลาง 483 กิโลกรัม พฤติการณ์ปกติรับจ้างขนผักผลไม้ตลาดใหญ่ชื่อดัง ใช้กระบะเปลี่ยนทะเบียนขนลำเลียง-ซุกลังโฟมในบ้านเช่า‘ปทุมธานี’ เตรียมส่งลง‘ภาคใต้’จำหน่ายขบวนการค้ายาข้ามชาติ‘ออสเตรเลีย-ไต้หวัน-ฮ่องกง’ สารภาพได้ค่าจ้างขนครั้งละล้านบาท ทำมาแล้ว 4 ครั้ง ‘เลขา ป.ป.ส.’เตรียมขยายผลจาก Drug Profile หานายทุนภาคใต้-เจ้าของตัวจริง เปิดปฏิบัติการตัดไฟแต่ต้นลมครั้งที่ 3 คาดยึดทรัพย์ได้เพียบ
เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2567 ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด( ป.ป.ส.) พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. พร้อมด้วยนายปฤณ เมฆานันท์ ผอ.สำนักปราบปรามยาเสพติด น.อ.วิสูตร งิ้วแหลม รองผู้บังคับทหารอากาศดอนเมือง กองทัพอากาศ พล.ต.ต.อดิศ เจริญสวัสดิ์ ผบก.ปส.3 กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) พล.ร.ท.เฉลิมชัย สวนแก้ว รองเสนาธิการทหารเรือ พล.ต.ธีรนันท์ นันทขว้าง ผู้บัญชาการหน่วยข่าวกรองทางทหาร กองทัพบก ร่วมกันแถลงผลการจับกุมเครือข่ายการค้าไอซ์ข้ามชาติ จับกุมผู้ต้องหา 2 ราย พร้อมไอซ์ 483 กิโลกรัม (กก.) ซึ่งจัดหาโดยกลุ่มชาติพันธุ์จากพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ ใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน เตรียมลำเลียงไปยังประเทศที่สาม โดยจับกุมได้ที่บ้านเช่าเก็บพักยาเสพติดใน จ.ปทุมธานี
พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ เปิดเผยว่า เครือข่ายดังกล่าวมีฐานการดำเนินการในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ และใช้ประเทศไทยเป็นเส้นทางลำเลียงยาเสพติดไปยังประเทศที่สาม มีรูปแบบการจัดการเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่มีความเชื่อมโยงในหลายภูมิภาค สืบเนื่องจากการติดตามพฤติกรรมของเครือข่ายดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง และเจ้าหน้าที่สืบทราบว่าเครือข่ายได้จัดเตรียมยาเสพติดล็อตใหญ่ลงพื้นที่ภาคใต้และใช้บ้านเช่าใน อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เป็นสถานที่เก็บพัก
หลังจากนั้นจึงบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย เข้าตรวจค้นและยึดไอซ์ 483 กก. พร้อมจับกุมผู้ต้องหา 2 ราย เป็นชาย 1 ราย หญิง 1 ราย จากการสอบสวนเบื้องต้นผู้ต้องหาทั้งสองให้การรับสารภาพ ว่า เตรียมลำเลียงยาเสพติดไปยัง จ.สงขลา โดยได้รับค่าจ้าง 1 ล้านบาท และรับสารภาพว่าเคยทำมาแล้ว 3 ครั้ง
“ไอซ์ล็อตนี้ถูกนำเข้ามาจากพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ และเข้ามาทางพื้นที่ภาคเหนือตอนบน จากนั้นส่งต่อไปพักไว้ที่บ้านเช่าในภาคกลาง เพื่อเตรียมส่งไปยังภาคใต้ โดยผ่านประเทศมาเลเซีย ปลายทางส่วนใหญ่เป็นประเทศออสเตรเลีย ไต้หวัน ฮ่องกง เป็นต้น สำหรับการตรวจ Drug Profile ของยาเสพติดของไอซ์ล็อตนี้ว่าเคยตรงกับไอซ์ล็อตอื่นที่ ป.ป.ส. เคยยึดหรือไม่นั้น หากมีการตรวจสอบแล้วพบว่ามีลักษณะเหมือนกับยาเสพติดที่สกัดได้ทางฝั่ง สปป.ลาว และเมียนมา ไม่ว่าจะบรรจุภัณฑ์เหมือนกัน หรือสารเคมีเดียวกัน ก็สามารถใช้ขยายผลสอบสวนไปถึงต้นทางได้ และจะทำให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของเครือข่ายยาเสพติดต่างๆ” พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ กล่าว
เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวด้วยว่า ในวันที่ 18 ธ.ค.นี้ เวลา 15.00 น. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะเดินทางมายังสำนักงาน ป.ป.ส. เพื่อประชุมติดตามและเร่งรัดการแก้ไขปัญหายาเสพติด อีกทั้งตนจะได้มีการประชุมร่วมกับ 77 ผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อหารือเรื่องการแก้ไขปัญหายาเสพติดทุกมิติ ทั้งการปราบปราม ป้องกัน และบำบัด
นอกจากนี้ สำนักงาน ป.ป.ส. จะมุ่งเน้นการสกัดกั้นการลักลอบนำเข้ายาเสพติดตามแนวพื้นที่ชายแดนภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันตก อย่างเข้มข้นแล้ว ยังร่วมกับหน่วยงานภาคีที่เกี่ยวข้องเพื่อยกระดับความเข้มงวดในการลาดตระเวนตรวจตราพื้นที่ชายฝั่งทะเลที่เป็นพื้นที่เสี่ยงในการลักลอบส่งออกยาเสพติดทางทะเลของประเทศไทย เพื่อสกัดกั้นการลักลอบลำเลียงยาเสพติดไปยังปลายทางประเทศที่สามโดยกลุ่มขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ และจะสืบสวนขยายผลรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีกับบุคคลที่เกี่ยวข้องให้ถึงระดับนายทุนผู้สั่งการ เพื่อขยายผลสืบหาทรัพย์สินและผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาดำเนินคดี และเตรียมปฏิบัติการยึดอายัดทรัพย์สินตามกฎหมายต่อไป
ด้านนายปฤณ เมฆานันท์ ผอ.สำนักปราบปรามยาเสพติด สำนักงาน ป.ป.ส. เผยว่า การสืบสวนขยายผลเครือข่ายการค้ายาเสพติดข้ามชาติในพื้นที่ภาคใต้นั้น เราได้พิสูจน์ทราบว่ารถกระบะทะเบียนคันดังกล่าว ซึ่งเป็นรถที่ใช้ลำเลียงยาเสพติด เป็นของผู้ต้องหาทั้ง 2 รายที่จับกุมไปเมื่อวันเสาร์ที่ 14 ธ.ค.ที่ผ่านมา ในความผิดฐานร่วมกันมีการจำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายยาเสพติดให้โทษฯ และทั้งคู่ลำเลียงได้ค่าจ้าง 1 ล้านบาทต่อครั้ง ถือเป็นการจ้างที่แพงมาก หากไอซ์ล็อตนี้ได้ถูกส่งออกไปจะยิ่งขายได้มูลค่าสูง
อย่างไรก็ตาม ก่อนล็อคเป้าหมายจับกุม เราได้เฝ้าติดตามรถกระบะคันนี้มาอย่างต่อเนื่องและพบว่ารถคันนี้มีของเต็มคันกระบะ จึงทำการตรวจค้นและพบไอซ์ 483 กก. โดยผู้ต้องหายอมรับว่าจะลำเลียงลงภาคใต้ ซึ่งก็สอดคล้องกับที่เราได้สืบสวนมาตลอด และหลังจากนี้เราจะขยายผลต่อเพื่อเปิดปฏิบัติการตัดไฟแต่ต้นลมที่ภาคใต้ต่อไป เป็นครั้งที่ 3 เพื่อตัดวงจรยาเสพติด และยึดทรัพย์สิน
นายปฤณ ระบุว่า พฤติการณ์ของเครือข่ายนี้มักจะรับยาเสพติดที่พื้นที่ภาคกลาง และนำลำเลียงลงภาคใต้ และเมื่อเราสืบสวนจึงพบว่ารถกระบะคันดังกล่าวส่วนใหญ่จะมีเส้นทางขับขึ้น-ลง ระหว่างภาคกลางกับพื้นที่ใน จ.สงขลา บ่อยครั้ง และเจ้าหน้าที่ก็สามารถระบุอัตลักษณ์ได้ว่ารถคันนี้คือรถสำหรับใช้ขนลำเลียงยาเสพติด แม้ทำมาแล้ว 3 ครั้งแต่ในครั้งที่ 4 นี้เราก็สามารถจับกุมได้พร้อมของกลาง ส่วนอาชีพปกติของ 2 ผู้ต้องหาพบว่าทั้งคู่ไม่ได้มีอาชีพอะไร แค่ไปแถวตลาดไท ขับรถรับส่งผักผลไม้ ไม่ได้มีอาชีพเป็นหลักแหล่ง ในจำนวน 4 ครั้งนี้ที่ผู้ต้องหารับลำเลียงยาเสพติด เกิดขึ้นภายใน 2 ปี ทั้งคู่ให้การเป็นประโยชน์ในการใช้เพื่อขยายผลไปยังเครือข่ายยาเสพติดทางภาคใต้ที่ผู้ต้องหานำส่ง แต่ต้องขอสงวนรายละเอียดไว้ก่อน
“รถกระบะสีขาวที่ผู้ต้องหาใช้ลำเลียงยาเสพติด มีการใช้ทะเบียนหลายอัน ตอนที่เราไปตรวจค้นที่บ้านเจอมีการเปลี่ยนทะเบียนตลอด แต่เมื่อได้ตรวจสอบเชิงลึกได้ดูลักษณะรถที่ลงใต้ขึ้นกรุงเทพฯ จะพบว่ามีการใช้รถคันนี้ทุกครั้ง จึงได้ลองไปมอนิเตอร์จุดอื่น กระทั่งวันที่ 14 ธ.ค. ตรวจพบและจับกุมได้ ส่วนไอซ์ของกลาง ได้ถูกบรรจุลงในลังโฟม มีการนำไปพักเก็บในบ้านเช่า และเตรียมจะส่งออกในวันนั้น แต่ถูกจับกุมเสียก่อน” นายปฤณ กล่าว